เทรนด์ที่กำลังจะมาเปลี่ยนแปลงโลก Disruption Trend 2019

Trend ที่กำลังจะมาเปลี่ยนแปลงโลกในปีนี้

ในวันที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเทคโนโลยีก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ว่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมไหน ก็ย่อมได้รับผลกระทบจากแนวโน้มของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น แล้วในมุมมองของสตาร์ทอัพมี Trend ที่กำลังจะมาเปลี่ยนแปลงโลกในปีนี้มีอะไรบ้าง มาหาเริ่มคำตอบไปพร้อมกัน

1. Tech - People - Culture คือหัวใจสำคัญของ Digital Transformation

เทรนด์ที่กำลังจะมาเปลี่ยนแปลงโลก Disruption Trend 2019

ในโลกทุกวันนี้คำว่า “ดิจิทัลแพลตฟอร์ม” ไม่ใช่ยาวิเศษรักษาสารพัดโรค หลายองค์กรอาจมองว่าการมีดิจิทัลแพลตฟอร์ม คือการทำ Digital Transformation แต่ที่จริงมันไม่ใช่แค่นั้น การมีออนไลน์แพลตฟอร์มไม่ว่าจะเป็น เว็ป แอพ หรือ โซเชียลมีเดียไว้ใช้สื่อสารกับผู้บริโภคที่เป็นคนรุ่นใหม่เป็นแค่การใช้แพลตฟอร์มเป็น “ช่องทาง” ในการสื่อสารกับผู้บริโภค แต่ยังขาดการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้เพื่อต่อยอดและสร้าง Impact ได้อย่างจริงจัง เช่น การเพิ่มคุณภาพของคอนเทนต์ การเข้าถึง Audience อย่างมีประสิทธิภาพและการสร้างรายได้จากโฆษณา

ตัวอย่างของธุรกิจที่ “Transform” ในเชิงรุกได้อย่างรวดเร็วและวิ่งนำหน้าคนอื่น มีให้เห็นในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น  The Washington Post ธุรกิจสิ่งพิมพ์เก่าแก่ ที่กำหนดวิสัยทัศน์ไว้ว่าจะเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม ซึ่งในที่สุดก็ทำได้จริง! จนได้รับการคัดเลือกให้เป็น The World’s 50 Most Innovative company ในปี 2018 (ข้อมูล: Fast Company) โดยถูกจัดอยู่ในอันดับ 8 ของโลก ทำได้อย่างไร? คำตอบอยู่ที่วิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ที่ต้องการจะเป็น Technology-first Media Company ทำให้เกิดซอฟท์แวร์ที่ช่วยบริหารจัดการคอนเทนต์ หรือที่เรียกว่า CMS (Content Management System) ที่มีประสิทธิภาพที่สุดและตอบโจทย์ของการใช้งานจริงมากที่สุด โดย  The Arc Publishing เป็นบริษัทลูกในรูปแบบสตาร์ทอัพภายในองค์กร ส่งให้ผลประกอบการของ The Washington Post พลิกกลับมาทำผลกำไรได้ในปี 2016 บทสรุปของเรื่องนี้นอกจากเรื่องของเทคโนโลยีแล้ว ทางรอดจาก Disruption ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของผู้นำและการสร้าง Culture การทำงานทำให้พัฒนานวัตกรรมให้เกิดขึ้นได้จริง และขับเคลื่อนวิสัยทัศน์โดยใช้ “People” เป็นจุดศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ "Technology”

2. SaaS ธุรกิจมาแรงยุค Digital Disruption

เทรนด์ที่กำลังจะมาเปลี่ยนแปลงโลก Disruption Trend 2019

Software-as-service (SaaS)  ธุรกิจการให้บริการซอฟท์แวร์ด้านต่าง ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ในรูปแบบ Subscription หรือการเช่าใช้งาน โดยที่ผู้ใช้บริการสามารถจ่ายค่าบริการตามจำนวนฟีเจอร์ที่เลือกใช้และผู้ใช้งานจริง กำลังเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตสูงมากในตลาดโลก มีสตาร์ทอัพของโลกหลายรายที่พัฒนาบริการนี้และประสบความสำเร็จ ข้อมูลจาก Gartner บริษัทวิจัยชั้นนำ ระบุว่ามูลค่าตลาดของผู้ให้บริการ SaaS ผ่าน Cloud Services น่าจะแตะหนึ่งแสนเก้าหมื่นเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2018  และคาดการณ์ว่าการเติบโตเฉลี่ยน่าจะไม่ต่ำกว่า 25% ในอีก 5 ปีข้างหน้า

ในตลาดโลก สตาร์ทอัพสาย SaaS ที่ดึงเม็ดเงินลงทุนได้สูงสุดยังเป็นกลุ่มที่ให้บริการซอฟท์แวร์สำหรับ Developers-IT และ Infrastructure รองลงมาคือ ซอฟท์แวร์ด้าน Marketing และ การนำเอา Customer Insights ไปใช้ประโยชน์เพื่อให้สามารถเข้าถึงลูกค้าและนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ กลุ่มถัดมาคือกลุ่มที่พัฒนา Collaboration Tools และ Productivity Software ที่ทำให้การทำงานของทีมและองค์กรบรรลุเป้าหมายและเกิดประสิทธิภาพ

บริษัทที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในปี 2018 คือ Qualtrics เป็นสตาร์ทอัพที่พัฒนาซอฟท์แวร์สำหรับใช้ในการวิจัยและวิเคราะห์ผู้บริโภคที่มีความโดดเด่นในเรื่อง Insights และ Customer Experience ปัจจุบันมีลูกค้าองค์กรใช้งานถึงกว่าแปดพันรายทั่วโลก

3. FMCG หรือจะต้องเลือก Self-disruption

หากได้อยู่ในวงสนทนาของผู้บริหารแบรนด์ใหญ่ ๆ ในธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคหรือที่เรียกกันว่า FMCG ทุกคนแทบจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เหนื่อย”

เทรนด์ที่กำลังจะมาเปลี่ยนแปลงโลก Disruption Trend 2019

สินค้าอุปโภคบริโภคของกินของใช้เป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้บริโภคต้องการ แต่การเติบโตแบบ Organic Growth หรือเติบโตตามกลไกตลาดแบบธรรมชาติแทบไม่มี ข้อมูลจาก McKinsey ระบุว่า การเติบโตของธุรกิจ Global FMCG ในรอบ 7 ปีที่ผ่านมา ต่ำกว่าตัวเลขการเติบโตของ Global GDP นั่นคือต่ำกว่า 2.5% และผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นก็ต่ำกว่าดัชนีของ S&P 500 ธุรกิจยักษ์ใหญ่ใน FMCG กำลังพบกับอุปสรรคและความท้าทาย เพราะการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และสิ่งที่เรียกว่า The Millennial Effect ที่ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกแบบไร้ข้อจำกัด Scale ของธุรกิจที่เคยเป็นแรงส่งทำให้ธุรกิจยักษ์ใหญ่รวบอำนาจแบบเบ็ดเสร็จได้ กลับกลายเป็นภาระที่ต้องแบกรับ ในขณะที่แบรนด์เกิดใหม่บนช่องทาง Online สามารถคืบคลานเข้ามาเป็นแบรนด์แถวหน้าได้ไม่ยาก เราจึงได้เห็นบริษัทยักษ์ใหญ่หลายบริษัททุ่มทุนซื้อสตาร์ทอัพที่กำลังจะ Disrupt ธุรกิจด้วยช่องทางออนไลน์ Direct to Consumer ด้วยเงินนับพันล้านเหรียญ เช่น Dollar Shave Club ที่ถูกยูนิลีเวอร์ซื้อกิจการ หรือโปรตีนให้พลังงาน RX Bar ที่ถูก Kellogg ซื้อไป  โดยภาพรวมจากเทรนด์การลงทุนในสตาร์ทอัพที่เป็นที่จับตามองของธุรกิจ FMCG มีอยู่ด้วยกัน 4 กลุ่มหลักคือ

1. Direct to Consumer หรือ Subscription Model

2. Deep-Tech ที่ตอบโจทย์เทรนด์อาหารใหม่ ๆ เช่น ลดน้ำตาล Healthier Ingredients หรือ โปรตีนทางเลือก

3. IoT Device สำหรับการวัดพฤติกรรมการใช้สินค้าของผู้บริโภคตั้งแต่ของใช้ในบ้านไปจนถึงผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

4. กลุ่มที่ทำซอฟท์แวร์บน Cloud หรือ SaaS ที่ตอบโจทย์การใช้งานของธุรกิจ ตั้งแต่ Supply Chain ไปจนถึงการตลาดและการเก็บข้อมูลผู้บริโภค

แนวโน้มที่เห็นชัดเจนในกลุ่ม FMCG ก็คือแทบจะทุกบริษัทในกลุ่มธุรกิจ FMCG รายใหญ่ ตั้งบริษัทร่วมทุนหรือร่วมกับ Accelerator เพื่อเฟ้นหาสตาร์ทอัพรายใหม่ ที่จะพัฒนาธุรกิจใหม่ร่วมกัน ล่าสุดก็คือ Biersfdorf  ที่จับมือกับ WeWork ที่เกาหลีใต้ เพื่อหาสตาร์ทอัพในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ในกลุ่ม Skincare และ Personal Care ส่วน P&G Head quarter ของกลุ่ม Beauty และ Personal Care ก็เพิ่งประกาศพร้อมลงทุนในสตาร์ทอัพและนวัตกรรมใหม่อีกกว่า 8 ล้านเหรียญ แนวทางนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นโมเดลใหม่ที่จะเริ่มเห็นชัดในธุรกิจ FMCG มากขึ้น เพราะ “ยิ่งใหญ่ ยิ่งยาก” ในการสร้างธุรกิจนวัตกรรม จึงทำให้เกิดการร่วมมือในการพัฒนานวัตกรรมระหว่างผู้พัฒนาเทคโนโลยีกับผู้นำในตลาดที่ไม่สามารถจะอยู่เฉยและรอให้ใครมา Disrupt!

4. อนาคต Digital Health

เทรนด์ที่กำลังจะมาเปลี่ยนแปลงโลก Disruption Trend 2019

จริงหรือที่ว่า Digital Technology จะเข้ามาพลิกโฉมวงการ Healthcare? เมื่อนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์การดูแลสุขภาพและพัฒนาการทางการแพทย์ เข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่เรื่องของการวิจัยและพัฒนายาใหม่ ๆ การดูแลสุขภาพแบบ Personalized การเชื่อมต่อระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยเพื่อการติดตามผลและเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา กระแสของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ล้วนถูกนำเข้ามาใช้ไม่ว่าจะเป็น AI, Blockchain, หรือกระทั่งด้านของ BioTech มีการนำเอาซอฟท์แวร์และแอพพลิเคชั่นเข้ามาพัฒนายาและวิธีการรักษาโรค แต่ผลลัพธ์ของนวัตกรรมที่ถูกพัฒนาขึ้นมายังไม่ได้ถูกขยายผลให้เกิดเป็นโมเดลการให้บริการใหม่ ๆ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการ Healthcare ได้

โลกของ Healthcare เป็นโลกที่มีความซับซ้อนและเป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและสุขภาพ กลไกในการควบคุมที่รัดกุมทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้มีกำแพงและอุปสรรคมากมายปิดกั้นนวัตกรรมใหม่ ถ้านำเอากรณีศึกษาของ Healthcare มาเปรียบเทียบกับคลื่นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนโลกดิจิทัล เช่น On-demand, E-commerce หรือ Sharing Economy Model จะพบว่ากลไกของความสำเร็จในอดีตมักจะอยู่ที่ People, Products และ Platform ในขณะที่การจะ Disrupt และ Transform อุตสาหกรรมใหญ่อย่างเช่น Healthcare จำเป็นต้องใช้ปัจจัยอีก 3 อย่างเป็นตัวขับเคลื่อน นั่นคือ Partnership, Policy, และ Perseverance ที่สำคัญใครจะอึดและทนสู้กับอุปสรรคได้นานกว่ากัน การจะขับเคลื่อน Technology ใน Healthcare จำเป็นต้องขับเคลื่อนผ่านยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรม ทำให้ผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมมีการขยับตัวแสวงหาพาร์ทเนอร์ การลงทุนใน Digital Health ปี 2018 แตะจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ด้วยเม็ดเงินกว่าหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตจากปีผ่าน ๆ มาแบบก้าวกระโดด เทคโนโลยีที่ได้รับการลงทุนสูงสุดคือ Patient Empowerment การเชื่อมต่อระหว่างผู้ให้บริการทางการแพทย์และผู้ป่วย รองลงมาคือกลุ่ม Wellness และตามด้วยระบบงาน Operation Workflow และ ERP

นอกจากนั้นยังมีความร่วมมือในการพัฒนาโครงการร่วมกัน เช่น บริษัทยายักษ์ใหญ่จับมือกับสตาร์ทอัพสาย AI กลุ่มธุรกิจประกันสุขภาพจับมือกับสตาร์ทอัพที่ Health Tracking และ Remote Monitoring และกลุ่ม Big Tech เช่น Microsoft, Amazon และ Google ที่กำลังหาจุดยืนในตลาด Digital Health ได้เริ่มจับมือกับผู้ให้บริการทางการแพทย์และแสวงหาโมเดล รวมถึงช่องทางที่จะเข้าถึงผู้บริโภคในตลาดนี้ให้ได้

5. Automation Economy จุดเปลี่ยนอนาคต

เทรนด์ที่กำลังจะมาเปลี่ยนแปลงโลก Disruption Trend 2019

เทคโนโลยีกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจในช่วงของการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ Industry 5.0  หลายคนสงสัยว่า ระหว่าง AI, Automation, และ Digital Transformation สิ่งไหนจะส่งผลกระทบและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมในวงกว้างได้มากกว่ากัน แต่ละธุรกิจและอุตสาหกรรมล้วนมี Pain Point และแรงกดดันที่ไม่เหมือนกัน สำหรับบางธุรกิจต้นทุนของการไม่ปรับเปลี่ยนอะไรเลยก็อาจจะสูงถึงขั้นอยู่ในธุรกิจต่อไปไม่ได้  ในขณะที่บางธุรกิจแค่ทำ Digital Transformation และนำ Tools ใหม่ ๆ บางอย่างมาใช้ก็เพียงพอแล้ว ผู้บริหารองค์กรขนาดใหญ่ที่มีประสบการณ์ในการขับเคลื่อนเรื่อง Digital Transformation หลายคนมองว่าในที่สุดแล้ว Digital Transformation ก็อาจเป็นเพียงแค่จุดแวะพักระหว่างทางก่อนที่จะก้าวไปถึงเส้นชัย ที่หมายถึงการนำองค์กรไปสู่ Automated Organization นั่นคือการนำเอาเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติ มาใช้ทดแทนงานส่วนใหญ่ที่เคยมีอยู่เดิมแต่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาให้เกิดโซลูชั่นใหม่ ๆ ได้ดีกว่าเดิม เร็วกว่าเดิม ด้วยต้นทุนที่ต่ำว่าเดิมในระยะยาว

Automation ไม่ได้ครอบคลุมแค่ระบบอัตโนมัติ ที่เอาหุ่นยนต์มาใช้ทดแทนแรงงานคนเท่านั้น แต่ยังหมายถึง Robotic Process Automation นั่นคือการใช้ AI และซอฟท์แวร์ เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพความแม่นยำของงาน และทดแทนคนในการวิเคราะห์ ประมวลผล หรือบริหารข้อมูลขนาดใหญ่  Automation เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในหลายธุรกิจ เช่น Banking, Manufacturing, และ Healthcare การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือ ความคาดหวังของลูกค้าจะสูงขึ้น เพราะ Automation ไม่ได้ลดแค่เวลาและเพิ่มความถูกต้องในการทำงาน แต่ยังสามารถนำเสนอบริการใหม่ ๆ ที่เหมาะสม และตรงกับความต้องการของลูกค้าได้ดีมากยิ่งขึ้น

สตาร์ทอัพด้าน Robotics ภาคการผลิต และ Robotic Process Automation (RPA) ในภาคธุรกิจเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ กลุ่มธุรกิจหลักที่ลงทุนใน RPA มี 5 กลุ่มหลักด้วยกันคือ กลุ่ม Tech และธุรกิจซอฟท์แวร์ยักษ์ใหญ่ เช่น Google, Intel, SAP กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มอุตสาหกรรมผลิต กลุ่มธุรกิจพลังงาน และ กลุ่ม Healthcare

เหตุผลที่ RPA เข้ามามีบทบาทสำคัญ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะพัฒนาการของ AI เทคโนโลยีที่ทำให้การใช้ Bots ตอบโจทย์ระบบงานในองค์กรได้แม่นยำขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพของงานตั้งแต่ ระบบการขาย การตลาด ระบบงานโซลูชั่นทางบัญชีและการเงิน ระบบ HR  แทบจะเรียกได้ว่า Automated Process ได้ค่อย ๆ แทรกซึมเข้ามาก่อนที่เราจะทันได้รู้ตัว บทบาทของพนักงาน White Collar ในองค์กรก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง รูปแบบของงานที่ทำซ้ำ ๆ งานวิเคราะห์ งานสำหรับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางจะถูกทดแทนด้วย RPA งานใหม่ที่จะเข้ามาแทนคือการให้บริการลูกค้าแบบ Proactive และเหนือความคาดหมาย นั่นคือการใช้ Deep Insights พัฒนาบริการหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ Personalized และลูกค้าอาจไม่เคยรู้ตัวมาก่อนด้วยซ้ำว่าต้องการสินค้าและบริการนั้น!

Writer
Twipat Tesprateep
Managing Director

As a creative agency, we believe in the power of imagination and innovation. We are constantly pushing the boundaries of what is possible, and strive to create work that is not only beautiful and effective, but also meaningful and impactful.

เริ่มโปรเจคร่วมกัน

contact@neumerlin.com
การใช้เว็บไซต์นี้แสดงว่าคุณตกลงที่จะจัดเก็บคุกกี้บนอุปกรณ์ของคุณเพื่อปรับปรุง และ วิเคราะห์การใช้งานของเว็บไซต์ ดู นโยบายความเป็นส่วนตัว ของเราสําหรับข้อมูลเพิ่มเติม Privacy Policy