วิธีปรับ Customer Journey ให้ทันพฤติกรรมลูกค้าในยุคดิจิทัล

ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกมิติของชีวิต พฤติกรรมผู้บริโภคก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ธุรกิจที่ปรับตัวและเข้าใจ "เส้นทางของลูกค้า" หรือ Customer Journey ได้อย่างลึกซึ้งเท่านั้นจึงจะสามารถสร้างความได้เปรียบและเติบโตได้อย่างยั่งยืน บทความนี้ NeuMerlin Group จะพาทุกท่านไปเจาะลึกวิธีปรับ Customer Journey ให้สอดรับกับลูกค้ายุคใหม่ เพื่อการสร้างแบรนด์ที่ตอบโจทย์กับพฤติกรรมของลูกค้าในปัจจุบันมากที่สุด

Customer Journey คืออะไร? และทำไมถึงสำคัญในยุคดิจิทัล?

Customer Journey คืออะไร

Customer Journey คือ "เส้นทางของลูกค้า" ที่อธิบายถึงประสบการณ์ทั้งหมดที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ ตั้งแต่เริ่มรู้จัก พิจารณา ตัดสินใจซื้อ ใช้สินค้าหรือบริการ ไปจนถึงการบอกต่อ ซึ่งในยุคดิจิทัลที่ลูกค้ามีทางเลือกและข้อมูลมากมาย การทำความเข้าใจ Customer Journey อย่างละเอียดจะช่วยให้คุณสามารถออกแบบแบรนด์ และวางแผนแนวทางในการทำธุรกิจที่สามารถมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดในทุกจุดสัมผัส (Touchpoint) สร้างความประทับใจ และเปลี่ยนจากผู้สนใจให้กลายเป็นลูกค้าประจำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนไปในยุคดิจิทัล กุญแจสู่การปรับ Journey ที่ตรงจุด

การจะปรับ Customer Journey ให้ได้ผลนั้น จำเป็นต้องเข้าใจถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าในปัจจุบันให้ดีเสียก่อน เพื่อให้สามารถออกแบบ Customer Journey ที่ตอบโจทย์กับพฤติกรรมของลูกค้าในปัจจุบันได้อย่างแท้จริง

Mobile-First & Always-On: การใช้สมาร์ทโฟนเป็นหลักในการค้นหาข้อมูลและตัดสินใจ

ปัจจุบัน สมาร์ทโฟนกลายเป็นปัจจัยที่ห้าของชีวิต ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะใช้มือถือในการค้นหาข้อมูล เปรียบเทียบสินค้า อ่านรีวิว และแม้กระทั่งตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ ทำให้ธุรกิจต้องมั่นใจว่า Customer Journey ที่ออกแบบไว้นั้นสามารถเข้าถึงและมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดผ่านหน้าจอมือถือได้ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ที่รองรับมือถือ (Mobile-Responsive) หรือแอปพลิเคชันที่ใช้งานง่าย 

Information Seekers: ค้นคว้าข้อมูลอย่างละเอียดจากหลายช่องทาง (Search Engine, Social Media, รีวิว)

ก่อนตัดสินใจซื้อ ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะค้นคว้าข้อมูลอย่างละเอียดจากหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Search Engine อย่าง Google, แพลตฟอร์ม Social Media ต่าง ๆ หรือเว็บไซต์รีวิวสินค้าและบริการ การสร้างคอนเทนต์ที่มีประโยชน์และน่าเชื่อถือในช่องทางเหล่านี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ลูกค้าค้นพบแบรนด์ของคุณและได้รับข้อมูลที่เพียงพอต่อการตัดสินใจ

Expect Personalization & Immediacy: ต้องการประสบการณ์เฉพาะบุคคลและความรวดเร็ว

กลุ่มลูกค้าในปัจจุบัน มักจะคาดหวังประสบการณ์ที่ปรับให้เข้ากับความต้องการและความสนใจของตนเอง (Personalization) ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอสินค้าที่ตรงใจ หรือการบริการที่รู้ใจ นอกจากนี้ ความรวดเร็วในการตอบสนอง (Immediacy) ก็เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการตอบคำถาม การแก้ไขปัญหา หรือการจัดส่งสินค้า การปรับ Customer Journey จึงต้องคำนึงถึงการนำเสนอประสบการณ์ที่เฉพาะบุคคลและทันท่วงที

Social Influence & Trust in Peers: อิทธิพลจากรีวิวออนไลน์และโซเชียลมีเดีย

ความคิดเห็นจากผู้ใช้งานจริง (User-Generated Content) และรีวิวออนไลน์มีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจของลูกค้ายุคใหม่ พวกเขามีแนวโน้มที่จะเชื่อถือคำแนะนำจากเพื่อนหรือคนอื่น ๆ ในโซเชียลมีเดียมากกว่าโฆษณาจากแบรนด์โดยตรง ดังนั้น การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า การกระตุ้นให้เกิดการรีวิวเชิงบวก และการบริหารจัดการชื่อเสียงออนไลน์ (Online Reputation Management) จึงเป็นส่วนสำคัญในการสร้าง Customer Journey ที่แข็งแกร่ง

แกะรอย 6 ขั้นตอน Customer Journey ในบริบทดิจิทัลที่ต้องปรับตัว

Customer Journey

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น เรามาดู 6 ขั้นตอนหลักของ Customer Journey ในยุคดิจิทัล และแนวทางการปรับตัวในแต่ละขั้นตอน เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำความเข้าใจแต่ละขั้นตอนนี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถวางกลยุทธ์และจัดสรรทรัพยากรได้อย่างเหมาะสมตลอดเส้นทางของลูกค้า

1. Awareness (การรับรู้) ลูกค้ายุคใหม่ค้นพบแบรนด์คุณได้อย่างไรในโลกดิจิทัล?

ขั้นตอนนี้คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์ สินค้า หรือบริการของคุณ ในโลกดิจิทัล ช่องทางที่สำคัญคือ Search Engine (ผ่าน SEO และ SEM), Social Media Marketing, Content Marketing (บทความ, วิดีโอ, อินโฟกราฟิก), Influencer Marketing และ Online Advertising การสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและตรงกลุ่มเป้าหมาย พร้อมทั้งทำให้ง่ายต่อการค้นพบ จะช่วยดึงดูดความสนใจและเริ่มต้น Customer Journey ได้อย่างสวยงาม

2. Consideration (การพิจารณา) สร้างความน่าเชื่อถือและให้ข้อมูลที่เหนือกว่าคู่แข่ง

เมื่อลูกค้ารู้จักแบรนด์ของคุณแล้ว พวกเขาจะเริ่มพิจารณาเปรียบเทียบกับตัวเลือกอื่น ๆ ในขั้นตอนนี้ การให้ข้อมูลสินค้าหรือบริการที่ละเอียด ชัดเจน เข้าใจง่าย และเน้นประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับจึงสำคัญมาก รีวิวจากลูกค้าจริง, Case Studies, บทความเปรียบเทียบ, หรือการนำเสนอ Free Trial/Demo จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและทำให้ลูกค้ามั่นใจในแบรนด์ของคุณมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของ Customer Journey ที่จะนำไปสู่การตัดสินใจ

3. Decision/Purchase (การตัดสินใจซื้อ) ปิดการขายอย่างไร้รอยต่อด้วยประสบการณ์ดิจิทัล

ขั้นตอนนี้คือหัวใจสำคัญที่ลูกค้าตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าหรือบริการของคุณ ประสบการณ์การสั่งซื้อและชำระเงินที่ง่าย สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในยุคดิจิทัล ช่องทางการชำระเงินที่หลากหลาย, ข้อมูลค่าใช้จ่ายที่โปร่งใส, ระบบตะกร้าสินค้าที่มีประสิทธิภาพ, และการออกแบบ UX/UI ที่ดีบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ จะช่วยลดอุปสรรคและเพิ่มโอกาสในการปิดการขายใน Customer Journey ได้สำเร็จ

4. Retention (การรักษาลูกค้า) เปลี่ยนผู้ซื้อเป็นลูกค้าประจำด้วยกลยุทธ์ดิจิทัล

การทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำสำคัญกว่าการหาลูกค้าใหม่เสมอ ในขั้นตอนนี้ การมอบประสบการณ์ที่ดีหลังการขาย, การบริการลูกค้าที่เป็นเลิศผ่านช่องทางดิจิทัล (Live Chat, Email, Social Media), การนำเสนอโปรแกรม Loyalty Program, การส่งข่าวสารหรือโปรโมชั่นพิเศษที่ตรงใจลูกค้า (Personalized Email Marketing) จะช่วยสร้างความผูกพันและความภักดีต่อแบรนด์ ทำให้ Customer Journey ของลูกค้าไม่สิ้นสุดแค่การซื้อครั้งเดียว

5. Advocacy (การบอกต่อ) สร้างกองทัพลูกค้าที่พร้อมแนะนำแบรนด์ในโลกออนไลน์

เมื่อลูกค้าประทับใจในสินค้า บริการ และประสบการณ์ที่ได้รับจากแบรนด์ พวกเขามีแนวโน้มที่จะบอกต่อหรือแนะนำแบรนด์ของคุณให้กับคนอื่น ๆ ในโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการแชร์ประสบการณ์ผ่าน Social Media, การเขียนรีวิว, หรือการแนะนำเพื่อน (Referral Program) การสร้างเงื่อนไขที่ง่ายต่อการบอกต่อและให้รางวัลสำหรับลูกค้าที่ช่วยสนับสนุนแบรนด์ จะทำให้ Customer Journey ของลูกค้าคนหนึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของลูกค้าคนใหม่อีกหลายคน

6. Post-Purchase Experience (ประสบการณ์หลังการขาย) จุดวัดใจที่สร้างความภักดีในระยะยาว

ประสบการณ์หลังการขายที่ดียังคงเป็นส่วนสำคัญของ Customer Journey ที่หลายธุรกิจอาจมองข้าม การติดตามผลหลังการใช้งาน, การให้คำแนะนำเพิ่มเติม, การจัดการกับข้อร้องเรียนอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ, หรือแม้แต่การเซอร์ไพรส์เล็ก ๆ น้อย ๆ สามารถสร้างความประทับใจที่ลึกซึ้งและเปลี่ยนลูกค้ารายนั้นให้กลายเป็น Brand Loyalist ที่พร้อมจะสนับสนุนแบรนด์ของคุณในระยะยาว

วิธีปรับ Customer Journey ด้วย Customer Journey Mapping ให้ตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่

Customer Journey Mapping

Customer Journey Mapping หรือการสร้างแผนที่เส้นทางของลูกค้า เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเห็นภาพรวมของประสบการณ์ลูกค้าในทุกจุดสัมผัส ทำให้สามารถระบุปัญหา ช่องว่าง และโอกาสในการปรับปรุง Customer Journey ได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ

ขั้นตอนการสร้าง Customer Journey Map ฉบับเข้าใจง่าย

การสร้างแผนที่ Customer Journey ที่มีประสิทธิภาพนั้นเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง และมองประสบการณ์ทั้งหมดผ่านมุมมองของพวกเขา เพื่อให้สามารถระบุจุดที่ควรปรับปรุงและสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจได้อย่างแท้จริง

  1. กำหนด Persona (ตัวตนของลูกค้าในอุดมคติ): เริ่มต้นด้วยการสร้าง Persona หรือตัวแทนของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของคุณ โดยระบุข้อมูลประชากร (อายุ, เพศ, อาชีพ, รายได้), พฤติกรรม, ความต้องการ, เป้าหมาย, และปัญหา (Pain Points) ที่พวกเขาเผชิญ การมี Persona ที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณเข้าใจและออกแบบ Customer Journey ที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนั้น ๆ ได้ดียิ่งขึ้น

  2. ระบุเป้าหมาย (Define Goals): กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนว่าคุณต้องการให้ลูกค้าบรรลุอะไรในแต่ละขั้นตอนของ Customer Journey และเป้าหมายของธุรกิจในการทำ Journey Mapping ครั้งนี้คืออะไร เช่น ต้องการเพิ่ม Conversion Rate, ลดอัตราการละทิ้งตะกร้าสินค้า, หรือเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้การวิเคราะห์และปรับปรุงเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง

  3. ลิสต์ Touchpoints (List out Touchpoints): ระบุทุกจุดสัมผัส (Touchpoints) ที่ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ของคุณตลอดทั้ง Customer Journey ทั้งช่องทางออนไลน์ (เว็บไซต์, โซเชียลมีเดีย, อีเมล, แอปพลิเคชัน, โฆษณาออนไลน์) และออฟไลน์ (หน้าร้าน, Call Center, Event) การลิสต์ Touchpoints ทั้งหมดจะช่วยให้คุณไม่พลาดจุดสำคัญที่ต้องพิจารณา

  4. วิเคราะห์ Pain Points/Opportunities (Identify Pain Points/Opportunities): ในแต่ละ Touchpoint ให้วิเคราะห์ว่าลูกค้าอาจประสบปัญหา ความคับข้องใจ หรืออุปสรรคใดบ้าง (Pain Points) รวมถึงมองหาโอกาส (Opportunities) ในการสร้างความประทับใจหรือปรับปรุงประสบการณ์ให้ดียิ่งขึ้น การรับฟังความคิดเห็นของลูกค้าผ่านการสำรวจหรือ Social Listening จะช่วยให้ขั้นตอนนี้มีประสิทธิภาพมาก

  5. วางแผนปรับปรุง (Plan for Improvement): จาก Pain Points และ Opportunities ที่วิเคราะห์ได้ ให้วางแผนการดำเนินการเพื่อปรับปรุง Customer Journey โดยกำหนดผู้รับผิดชอบ ระยะเวลา และตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPIs) ที่ชัดเจน การปรับปรุงอาจเป็นการแก้ไขปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือการปรับเปลี่ยนกระบวนการครั้งใหญ่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ค้นพบ

การวิเคราะห์ Digital Touchpoints และ Pain Points ที่พบบ่อย

ในยุคดิจิทัล Touchpoints ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นทางออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ที่โหลดช้า, ขั้นตอนการสั่งซื้อที่ซับซ้อน, ข้อมูลสินค้าไม่เพียงพอ, การตอบคำถามล่าช้าบนโซเชียลมีเดีย หรือโฆษณาที่ไม่เกี่ยวข้อง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น Pain Points ที่สามารถทำลายประสบการณ์ใน Customer Journey ได้ การตรวจสอบและปรับปรุง Digital Touchpoints เหล่านี้อย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งจำเป็น

ใช้ Data และ Feedback จากช่องทางดิจิทัลเพื่อปรับ Journey

ข้อมูล (Data) และความคิดเห็น (Feedback) จากลูกค้าคือขุมทรัพย์ในการปรับปรุง Customer Journey เครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์ (เช่น Google Analytics), ข้อมูลจากระบบ CRM, สถิติจากโซเชียลมีเดีย, ผลสำรวจความพึงพอใจ, และรีวิวจากลูกค้า ล้วนเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และนำมาปรับปรุง Customer Journey ได้อย่างตรงจุด

การทดสอบและวัดผลการปรับ Customer Journey

หลังจากวางแผนและดำเนินการปรับปรุง Customer Journey แล้ว สิ่งสำคัญคือต้องมีการทดสอบ (Testing) และวัดผล (Measuring) อย่างต่อเนื่อง เช่น การทำ A/B Testing เพื่อเปรียบเทียบว่าการเปลี่ยนแปลงใดให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า หรือการติดตาม KPIs ที่ตั้งไว้ เพื่อให้มั่นใจว่าการปรับปรุงนั้นส่งผลดีต่อธุรกิจจริง และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หากจำเป็น

สรุปบทความ

การปรับ Customer Journey ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้าในยุคดิจิทัลไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปหากธุรกิจมีความเข้าใจในตัวลูกค้าอย่างแท้จริง การทำ Customer Journey Mapping การวิเคราะห์ข้อมูล การรับฟังความคิดเห็น และการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณสามารถสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจ มัดใจลูกค้า และขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนในโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

หากใครอยากมีเว็บไซต์ที่ดีไซน์สวย ตอบโจทย์ธุรกิจ และพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบัน ลองปรึกษา NeuMerlin Group ให้ช่วยดูแลในการออกแบบ หรือปรับเว็บไซต์ให้กับคุณได้เลย เพราะภายใต้ NeuMerlin Group เรามีบริษัทที่พร้อมให้บริการรับทำเว็บไซต์และการตลาดบนเว็บไซต์ โดยมี SALAD Digital เป็นบริษัทที่ดูแลเรื่องการออกแบบเว็บไซต์ให้กับคุณโดยเฉพาะ ทำให้คุณมั่นใจได้เลยว่า หากให้เราช่วยดูแลเว็บไซต์ให้กับคุณ เว็บไซต์ของคุณจะมีคุณภาพและสามารถสร้างประสบการณ์ดี ๆ ให้แก่ผู้ใช้งานได้อย่างแน่นอน

Writer
NMG Team

เราคือ Marketing Agency ที่มีเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดเพื่อการมีส่วนร่วมในเอเชียแปซิฟิก พร้อมทีมงานมืออาชีพ

As a creative agency, we believe in the power of imagination and innovation. We are constantly pushing the boundaries of what is possible, and strive to create work that is not only beautiful and effective, but also meaningful and impactful.

เริ่มโปรเจคร่วมกัน

contact@neumerlin.com
การใช้เว็บไซต์นี้แสดงว่าคุณตกลงที่จะจัดเก็บคุกกี้บนอุปกรณ์ของคุณเพื่อปรับปรุง และ วิเคราะห์การใช้งานของเว็บไซต์ ดู นโยบายความเป็นส่วนตัว ของเราสําหรับข้อมูลเพิ่มเติม Privacy Policy