Retargeting คืออะไร? กลยุทธ์ติดตามลูกค้าที่ใช่ เพิ่ม Conversion Rate ให้ปัง

เคยสงสัยไหมว่าทำไมหลังจากที่คุณเข้าไปดูสินค้าชิ้นหนึ่งบนเว็บไซต์ E-commerce แล้วเปิด Facebook หรือเข้าเว็บข่าวอื่น ๆ ถึงได้เห็นโฆษณาสินค้าชิ้นนั้นตามไปทุกที่? นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลที่ทรงพลังที่เรียกว่า "Retargeting" ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเปลี่ยนผู้ที่เคยสนใจให้กลับมาเป็นลูกค้าได้จริง บทความนี้ NeuMerlin Group จะพาคุณไปเจาะลึกว่าการทำ Retargeting คืออะไร ทำงานอย่างไร และมีเทคนิคการทำอย่างไรให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด

Retargeting คืออะไร

Retargeting คืออะไร

Retargeting คือ กลยุทธ์การตลาดดิจิทัลที่มุ่งเน้นการแสดงโฆษณาไปยังกลุ่มคนที่ "เคย" มีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ของคุณบนโลกออนไลน์มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเข้าชมเว็บไซต์, การกดดูสินค้า, การเพิ่มสินค้าลงในตะกร้า, หรือการดูวิดีโอ โดยมีเป้าหมายเพื่อ "ติดตาม" และ "ย้ำเตือน" ให้พวกเขานึกถึงแบรนด์หรือสินค้าของคุณอีกครั้ง และกระตุ้นให้พวกเขากลับมาทำในสิ่งที่ยังทำไม่สำเร็จ เช่น การสั่งซื้อสินค้าให้เสร็จสิ้น หรือการลงทะเบียนให้สมบูรณ์

Retargeting ทำงานอย่างไร?

เบื้องหลังการทำงานของการทำ Retargeting คือเทคโนโลยีที่ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด โดยอาศัยเครื่องมือสำคัญ 2 อย่างที่ทำงานร่วมกันเพื่อระบุและติดตามกลุ่มเป้าหมายของคุณไปบนโลกออนไลน์

การทำงานผ่าน Pixel และ Cookie

เมื่อมีคนเข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณ โค้ดชิ้นเล็ก ๆ ที่เรียกว่า "Pixel" ซึ่งถูกติดตั้งไว้บนเว็บ จะทำการฝังไฟล์ข้อมูลที่ไม่ระบุตัวตนที่เรียกว่า "Cookie" ลงในเบราว์เซอร์ของผู้ใช้งานคนนั้น Cookie นี้จะทำหน้าที่เหมือนป้ายแท็กที่ติดตัวผู้ใช้ไป เมื่อพวกเขาออกจากเว็บไซต์ของคุณและไปเข้าชมเว็บไซต์อื่น ๆ ที่อยู่ในเครือข่ายโฆษณา (เช่น Facebook, Google Display Network) ระบบก็จะจดจำป้ายแท็กนี้และแสดงโฆษณาของคุณให้คน ๆ นั้นเห็น

การสร้าง Audience List

ข้อมูลจาก Cookie จะถูกนำมาสร้างเป็น "รายชื่อกลุ่มเป้าหมาย" (Audience List) สำหรับการยิงโฆษณา ซึ่งคุณสามารถแบ่งกลุ่มเป้าหมายตามพฤติกรรมได้อย่างละเอียด เช่น กลุ่มคนที่เข้าชมหน้าแรกแล้วออกไป, กลุ่มคนที่ดูสินค้า A, หรือกลุ่มคนที่เพิ่มสินค้าลงตะกร้าแต่ยังไม่จ่ายเงิน การแบ่งกลุ่มเช่นนี้ทำให้คุณสามารถสร้างโฆษณาที่ตรงกับความสนใจของแต่ละกลุ่มได้อย่างแม่นยำ

Retargeting VS Remarketing คืออะไร แตกต่างกันอย่างไร

เป็นสองคำศัพท์ที่มักสร้างความสับสนและถูกใช้สลับกันอยู่บ่อยครั้ง แม้ว่าเป้าหมายสุดท้ายคือการเข้าถึงลูกค้าเก่าเหมือนกัน แต่ในทางเทคนิคดั้งเดิมแล้ว ทั้งสองอย่างมีวิธีการและช่องทางที่แตกต่างกันเล็กน้อย

Retargeting เน้นการยิงโฆษณา (Paid Ads)

โดยทั่วไปแล้วการทำ Retargeting คือการใช้ Cookie เพื่อติดตาม "ผู้ใช้งานนิรนาม" (Anonymous Users) ที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ และแสดงโฆษณาแบบดิสเพลย์หรือวิดีโอให้พวกเขาเห็นบนแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น โซเชียลมีเดีย หรือเว็บไซต์ในเครือข่ายโฆษณาต่าง ๆ เป็นการใช้ Paid Ads เพื่อดึงคนกลับมา

Remarketing เน้นการใช้ Email

ในทางกลับกัน Remarketing แต่เดิมจะเน้นไปที่การ re-engage กับ "ฐานข้อมูลลูกค้าที่มีอยู่แล้ว" (Existing Contacts) โดยใช้ช่องทางหลักคือ "อีเมล" ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ การส่งอีเมลอัตโนมัติไปหาลูกค้าที่ทิ้งสินค้าไว้ในตะกร้า (Abandoned Cart Email) เพื่อกระตุ้นให้กลับมาซื้อให้สำเร็จ

ทำไม Retargeting ถึงเป็นกลยุทธ์ที่ทุกธุรกิจไม่ควรมองข้าม

การทำ Retargeting คือหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) สูงที่สุด เพราะเป็นการสื่อสารกับคนที่ไม่ใช่คนแปลกหน้า แต่เป็นกลุ่มคนที่รู้จักและแสดงความสนใจในแบรนด์ของคุณมาแล้วในระดับหนึ่ง

เพิ่ม Conversion Rate และยอดขายอย่างเห็นผล

โดยเฉลี่ยแล้ว มีผู้เข้าชมเว็บไซต์เพียง 2% เท่านั้นที่ตัดสินใจซื้อในครั้งแรก การทำ Retargeting จะช่วยดึงอีก 98% ที่เหลือกลับมา และย้ำเตือนถึงสิ่งที่พวกเขาสนใจ ซึ่งผลการศึกษาจำนวนมากชี้ว่าอัตราการคลิก (CTR) และอัตราการซื้อ (Conversion Rate) ของโฆษณา Retargeting สูงกว่าโฆษณาทั่วไปหลายเท่าตัว

สร้าง Brand Awareness และการจดจำแบรนด์ (Brand Recall)

การที่ลูกค้าเห็นโฆษณาของคุณปรากฏขึ้นอย่างสม่ำเสมอในหลาย ๆ แพลตฟอร์ม จะช่วยตอกย้ำให้แบรนด์ของคุณอยู่ในใจของพวกเขา (Top-of-Mind Awareness) แม้ว่าพวกเขาอาจจะยังไม่ซื้อในทันที แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องการสินค้าประเภทนั้น แบรนด์ของคุณก็จะเป็นชื่อแรก ๆ ที่พวกเขานึกถึง ซึ่งนี่เป็นส่วนสำคัญของ การสร้างแบรนด์ ในระยะยาว

เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายคุณภาพสูง (Warm Audience)

คุณไม่ต้องเสียเงินยิงโฆษณาไปหาคนที่ไม่รู้จักคุณเลย แต่คุณกำลังสื่อสารกับ "Warm Audience" หรือกลุ่มคนที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าอยู่แล้ว พวกเขารู้ว่าคุณคือใครและขายอะไร ทำให้การสื่อสารทำได้ง่ายและตรงจุดกว่าการพยายามเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ (Cold Audience)

เพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ได้อย่างคุ้มค่า

เนื่องจากเป็นการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายที่มีคุณภาพและมีโอกาสซื้อสูง ทำให้ต้นทุนต่อการได้มาซึ่งลูกค้าหนึ่งคน (Cost Per Acquisition) จากแคมเปญ Retargeting มักจะต่ำกว่าแคมเปญประเภทอื่นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) สูงและคุ้มค่ากับงบประมาณที่จ่ายไป

ประเภทของ Retargeting ที่นิยมใช้

กลยุทธ์ Retargeting คือสิ่งที่สามารถปรับเปลี่ยนได้หลากหลายรูปแบบเพื่อให้เข้ากับเป้าหมายและประเภทของธุรกิจ โดยรูปแบบที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายมีดังนี้

Pixel-based Retargeting (สำหรับผู้เข้าชมเว็บไซต์)

เป็นรูปแบบพื้นฐานที่สุดและนิยมใช้มากที่สุด โดยใช้ Pixel และ Cookie ในการติดตามและแสดงโฆษณาให้กับผู้ที่เคยเข้ามายังหน้าต่าง ๆ บนเว็บไซต์ของคุณ เหมาะสำหรับทุกธุรกิจที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง

List-based Retargeting (สำหรับฐานข้อมูลลูกค้า)

เป็นรูปแบบที่ใช้ "ข้อมูล" ที่คุณมีอยู่แล้ว เช่น รายชื่ออีเมล หรือเบอร์โทรศัพท์ของลูกค้าเก่าหรือ Leads โดยการอัปโหลดรายชื่อเหล่านี้ขึ้นไปยังแพลตฟอร์มโฆษณา (เช่น Facebook Custom Audiences) เพื่อยิงโฆษณาไปยังคนกลุ่มนี้โดยเฉพาะ เหมาะสำหรับการทำ Upsell หรือ Cross-sell

Dynamic Retargeting (สำหรับธุรกิจ E-commerce)

เป็นรูปแบบขั้นสูงที่ทรงพลังอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจ E-commerce โดยระบบจะสร้างโฆษณาขึ้นมาโดยอัตโนมัติและแสดง "สินค้าชิ้นที่ผู้ใช้คนนั้นเคยดู" หรือสินค้าที่เกี่ยวข้องกลับไปให้พวกเขาเห็นอีกครั้ง ซึ่งเป็นการยิงโฆษณาที่ตรงใจและมีประสิทธิภาพในการกระตุ้นยอดขายสูงมาก

5 เทคนิคการทำ Retargeting ให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด

การเปิดใช้งาน Retargeting คือจุดเริ่มต้น แต่การจะทำให้แคมเปญประสบความสำเร็จนั้นต้องอาศัยการวางแผนและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง นี่คือ 5 เทคนิคสำคัญที่จะช่วยให้แคมเปญของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุด

1. แบ่งกลุ่มเป้าหมาย (Audience Segmentation) ให้ละเอียด

อย่าใช้โฆษณาชุดเดียวกับทุกคนที่เคยเข้าเว็บ แต่ให้แบ่งกลุ่มตามพฤติกรรม เช่น กลุ่มที่ดูหน้าสินค้า A, กลุ่มที่ดูหน้าโปรโมชัน, หรือกลุ่มที่ทิ้งของในตะกร้า แล้วสร้างสารที่แตกต่างกันไปสำหรับแต่ละกลุ่ม จะทำให้โฆษณาของคุณตรงใจมากขึ้น

2. กำหนดความถี่ในการแสดงผล (Frequency Capping)

การเห็นโฆษณาซ้ำ ๆ มากเกินไปอาจสร้างความรำคาญแทนที่จะเป็นการย้ำเตือน ควรตั้งค่าจำกัดความถี่ในการแสดงโฆษณา (เช่น ไม่เกิน 3-5 ครั้งต่อวันต่อคน) เพื่อรักษาสมดุลและไม่ทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกว่าถูกคุกคาม

3. สร้างสรรค์โฆษณาที่แตกต่างพร้อมข้อเสนอพิเศษ

ออกแบบชิ้นงานโฆษณาสำหรับแคมเปญ Retargeting โดยเฉพาะ อาจจะใช้ข้อความที่แตกต่างออกไป หรือยื่นข้อเสนอพิเศษ เช่น "ยังสนใจอยู่ใช่ไหม? รับส่วนลด 10% ทันที!" เพื่อเป็นแรงจูงใจสุดท้ายในการกระตุ้นให้พวกเขากลับมาซื้อ

4. ตั้งค่า Conversion Tracking เพื่อวัดผลที่แม่นยำ

ติดตั้ง Conversion Tracking เพื่อวัดผลว่าโฆษณา Retargeting ของคุณสามารถสร้างยอดขายหรือ Lead ได้จริงหรือไม่ ข้อมูลนี้จำเป็นอย่างยิ่งในการคำนวณ ROI และประเมินความคุ้มค่าของแคมเปญ เพื่อนำไปปรับปรุงในอนาคต

5. ทดสอบและปรับปรุงแคมเปญอยู่เสมอ (A/B Testing)

อย่าหยุดที่จะทดสอบองค์ประกอบต่าง ๆ ของโฆษณา ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ, ข้อความ (Copy), หรือปุ่ม Call-to-Action (CTA) การทำ A/B Testing จะช่วยให้คุณค้นพบเวอร์ชันของโฆษณาที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด และเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญได้อย่างต่อเนื่อง

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Retargeting ผิดกฎหมาย PDPA หรือไม่

ไม่ผิดกฎหมาย หากทำอย่างถูกต้องตามหลัก PDPA โดยเว็บไซต์จะต้องมีการขอความยินยอม (Consent) จากผู้ใช้งานในการใช้คุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาด และต้องมีนโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy) ที่ชัดเจน ซึ่งเป็นมาตรฐานของเว็บไซต์ส่วนใหญ่ในปัจจุบัน

ควรเริ่มทำ Retargeting เมื่อไหร่

ควรเริ่มทำเมื่อเว็บไซต์ของคุณมีจำนวนผู้เข้าชม (Traffic) มากพอที่จะสร้าง Audience List ที่มีขนาดเหมาะสมได้ โดยทั่วไปแนะนำให้มีผู้เข้าชมอย่างน้อย 1,000 คนต่อเดือน เพื่อให้แพลตฟอร์มโฆษณาสามารถหาคนและแสดงโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สรุปบทความ

โดยสรุปแล้ว Retargeting คือกลยุทธ์ที่ขาดไม่ได้ในการตลาดดิจิทัลยุค 2025 มันเป็นวิธีที่ทรงพลังและคุ้มค่าที่สุดในการเปลี่ยนผู้ที่สนใจให้กลายเป็นลูกค้า, เพิ่มการจดจำแบรนด์, และสร้างยอดขายที่ยั่งยืน การวางแผนและปรับปรุงแคมเปญอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณสามารถดึงเม็ดเงินที่อาจหล่นหายไปกลับคืนมาได้อย่างมหาศาล หากคุณกำลังมองหาพาร์ทเนอร์ที่เชี่ยวชาญในการวางกลยุทธ์และสร้างแคมเปญ Retargeting ที่วัดผลได้จริง ทีมงาน NeuMerlin Group พร้อมให้คำปรึกษาอย่างมืออาชีพ

Writer
NMG Team

เราคือ Marketing Agency ที่มีเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดเพื่อการมีส่วนร่วมในเอเชียแปซิฟิก พร้อมทีมงานมืออาชีพ

As a creative agency, we believe in the power of imagination and innovation. We are constantly pushing the boundaries of what is possible, and strive to create work that is not only beautiful and effective, but also meaningful and impactful.

เริ่มโปรเจคร่วมกัน

contact@neumerlin.com
การใช้เว็บไซต์นี้แสดงว่าคุณตกลงที่จะจัดเก็บคุกกี้บนอุปกรณ์ของคุณเพื่อปรับปรุง และ วิเคราะห์การใช้งานของเว็บไซต์ ดู นโยบายความเป็นส่วนตัว ของเราสําหรับข้อมูลเพิ่มเติม Privacy Policy